หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555




มอบเงินบุรุษพยาบาลถูกยิงกว่า1.3ลบ.


สำนักข่าว INN



มอบเงินบุรุษพยาบาลถูกยิงกว่า1.3ลบ.
ข่าวภูมิภาค วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 8:54น.


กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอเลื่อนขั้นบุรุษพยาบล เบื้องต้นได้รับเงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้าน 3 แสนบาท จากเงินฌาปกิจ เงินประกันชีวิจกับสพฉ. เงินช่วยเหลือสธ.
ความคืบหน้ากรณีที่ นายนิพนธ์ มนตรี อายุ 22 ปี บุรุษพยาบาล โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ถูก นายวีระ วางจังหรีด อายุ 26 ปี ชาว จ.สระแก้ว ใช้อาวุธปืน ยิงเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ขณะปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่พอใจ นายนิพนธ์ ผู้ตาย ซักประวัติของ นางวาสนา เทพเทียร อายุ 25 ปี ภรรยา ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุทะเลาะวิวาท และนายวีระ ได้พาภรรยา มารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังจากนั้น นายวีระ ยิงผู้อื่นเสียชีวิตอีก 4 ราย ล่าสุด น.พ.ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมงานศพของ นายนิพนธ์ ที่วัดหนองหว้า อ.เขาฉกรรจ์ โดยในเบื้องต้น กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าหน้าที่ ที่เสียชีวิตส่วนหนึ่ง และกำลังทำเรื่องขอปูนบำเหน็จเลื่อนเงินเดือนให้ 5 ขั้น เป็นกรณีพิเศษ และในเบื้องต้นสิทธิประโยชน์ของนายนิพล ที่จะได้รับ อาทิ เงินช่วยพิเศษในกรณีข้าราชการถึงแก่ความตายในระหว่างรับราชการ จำนวน 3 เท่าของเงินเดือน บำเหน็จตกทอด เหตุผิดธรรมชาติ อุบัติเหตุ กระทำ หรือ ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งได้เกิดจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ประกันชีวิตกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เงินช่วยเหลือเพื่อการชดเชย กรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข เงินณาปณกิจสงเคราะห์กระทรวงสาธารณสุข รวมเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ประมาณ กว่า 1ล้าน 3 แสนบาท

กระจายกำลังติดตามคนร้ายก่อคดีฆ่า 5 ศพ ขณะที่ สธ. สพฉ. มอบเงินช่วยครอบครัวบุรุษพยาบาล
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 

น.พ.ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย น.พ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลเขาฉกรรจ์เพื่อสอบถามเหตุการณ์และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ ซึ่งกำลังเสียขวัญผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีรดน้ำศพนายนิพล มนตรี พยาบาลวิชาชีพ ที่วัดหนองหว้า อ.เขาฉกรรจ์ ซึ่งบรรยากาศภายในวัดเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามีผู้บริหารสาธารณสุขในพื้นที่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สาธารณสุขอำเภอ และเพื่อนร่วมงานจากในจังหวัด และประชาชนที่ทราบข่าวพากันมาร่วมรดน้ำศพเป็นจำนวนมาก
          น.พ.ธวัชชัย เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตส่วนหนึ่ง และกำลังทำเรื่องขอปูนบำเหน็จเลื่อนเงินเดือนให้ 5 ขั้น เป็นกรณีพิเศษ ในเบื้องต้นสิทธิประโยชน์ของนายนิพล มนตรี ที่จะได้ ได้แก่ 1) เงินช่วยพิเศษในกรณีข้าราชการถึงแก่ความตายในระหว่างรับราชการ ตามมาตรา 23  ตาม พรฎ.การจ่ายเงินเดือนเงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ.2535 จำนวน 3 เท่าของเงินเดือน เป็นเงิน 51,270 บาท
          2) บำเหน็จตกทอด เหตุผิดธรรมชาติ อุบัติเหตุ กระทำหรือถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งได้เกิดจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญ จำนวนเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาราชการ เป็นเงิน 124,415 บาท 3) ประกันชีวิตกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จำนวน 200,000 บาท 4) เงินช่วยเหลือเพื่อการชดเชยกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ไม่เกิน 200,000 บาท 5) เงินณาปณกิจสงเคราะห์กระทรวงสาธารณสุข 600,000 บาท
          6) บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเลื่อนขั้นอัตราเงินเดือนได้ไม่เกิน 5 ขั้น  7) กำลังดำเนินการเสนอขอเหรียญเชิดชูเกียรติ จากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 8) เงินประกันชีวิตจากสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขสระแก้วจำกัด จำนวน 100,000 บาท และ 9)เงินประกันชีวิตจากบัตรทองธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) อีก 100,000 บาท รวมเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นประมาณ 1,375,685 บาท
          นายนิพล มนตรี เจ้าหน้าที่พยาบาลที่ถูกยิงเสียชีวิตอายุ 32 ปี ปฏิบัติรับราชการที่โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์มาเป็นเวลา 9 ปี 10 เดือน ขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นพยาบาลวิชาชีพชำนาญการประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลเขาฉกรรจ์ ซึ่งได้ปฏิบัติงานเป็นอย่างดี เคยได้รับรางวัลรองชนะเลิศการพัฒนางานระบบการแพทย์ฉุกเฉินระดับเขตที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อ พ.ศ.2553




ปูนบำเหน็จเลื่อนเงินเดือน 6 ขั้นบุรุษพยาบาล รพ.เขาฉกรรจ์
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 

รมว.สธ.สั่งดูแลความปลอดภัยโรงพยาบาลทุกแห่งเข้มงวด ปูนบำเหน็จเลื่อนเงินเดือน 6 ขั้น ให้บุรุษพยาบาล รพ.เขาฉกรรจ์ สระแก้ว หลังถูกยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่...เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ได้สั่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ติดตามคดีคนร้ายยิงบุรุษพยาบาลประจำห้องฉุกเฉินของ รพ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว เสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บ พร้อมให้การช่วยเหลือครอบครัว และทำเรื่องขอปูนบำเหน็จเลื่อนเงินเดือน 6 ขั้นเป็นกรณีพิเศษ และเยียวยาจิตใจเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ซึ่งเสียขวัญกำลังใจอย่างมาก โดยสั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศเข้มงวดด้านความปลอดภัย
          จากกรณีที่มีเหตุคนร้ายก่อเหตุยิง นายนิพล มนตรี อายุ 32 ปี บุรุษพยาบาลประจำแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินของ รพ.เขาฉกรรจ์ อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ถูกทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. วันที่ 23 ก.พ. 2555 ที่ผ่านมา
          ความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว นายวิทยา ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าคนร้ายจะมีพฤติกรรมรุนแรงเช่นนี้ได้ ก่อให้เกิดความสะเทือนขวัญแก่เจ้าหน้าที่ของ รพ.เขาฉกรรจ์ เป็นอย่างมาก ทำให้เสียขวัญและกำลังใจ เนื่องจากสระแก้วเป็นจังหวัดชายแดนทุรกันดาร ที่ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรมาโดยตลอด ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะนี้จัดว่าเป็นผู้เสียสละ มีความตั้งใจในการทำงานดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ในเบื้องต้นนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตส่วนหนึ่ง และกำลังทำเรื่องขอปูนบำเหน็จเลื่อนเงินเดือนให้ 6 ขั้นเป็นกรณีพิเศษ พร้อมสั่งการให้ นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่นิติกร ลงพื้นที่ติดตามสอบสวนและประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายรายนี้ให้เร็วที่สุดและถึงที่สุด ขณะเดียวกัน ให้ปลอบขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ใน รพ.เขาฉกรรจ์ ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
          นายวิทยา กล่าวต่อไปว่า ได้กำชับให้ผู้บริหารโรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศ ขอให้เพิ่มมาตรการดูแลระมัดระวังความปลอดภัยในโรงพยาบาลอย่างเข้มงวด เพื่อให้ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เจ็บป่วย รวมทั้งผู้ที่มาใช้บริการเกิดความมั่นใจตลอด 24 ชั่วโมง
          ด้าน นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า นายนิพล มนตรี เจ้าหน้าที่พยาบาลที่ถูกยิงเสียชีวิต อายุ 32 ปี รับราชการที่ รพ.เขาฉกรรจ์ มาเป็นเวลา 9 ปี 10 เดือน ขณะนี้ ดำรงตำแหน่งเป็นพยาบาลวิชาชีพชำนาญการประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ได้รับรางวัลรองชนะเลิศการพัฒนางานระบบการแพทย์ฉุกเฉินระดับเขตที่ จ.อุดรธานี ในงานสรุปผลผู้ตรวจราชการเขต 3 เมื่อปี 2553 และเป็นคนที่ได้รับราชการเพียงคนเดียวของครอบครัว ซึ่งมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน สำหรับการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินประกันชีวิตจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 200,000 บาท เงินจากมาตรา 41 ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 200,000 บาท และเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ของกระทรวงสาธารณสุขอีก 600,000 บาท โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูแลความปลอดภัยที่ รพ.เขาฉกรรจ์ อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง.









สพฉ.จัดแข่ง EMS RALLY เตรียมพร้อมพัฒนาผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินมีมาตรฐาน ตื่นตัว   เขต 10 คว้าชัยกู้ชีพระดับสูง-เบื้องต้น พร้อมผลักดันการแข่งขันสู่ระดับนานาชาติ  


สถานีโทรทัศน์ Thai PBS





สถานีโทรทัศน์ อสมท.


วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดการแข่งขันการแพทย์ฉุกเฉิน Emergency Medical Services RALLY “EMS RALLY”  ระดับประเทศ ครั้งที่ 2 ปฏิบัติการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ที่สนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โดยมี          นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการแข่งขัน  พร้อมด้วย นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข 
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน อุบัติเหตุ หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด โดยเฉพาะอุบัติเหตุหมู่ในระยะหลังเกิดขึ้นถี่มาก ดังนั้นผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินที่เป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน จึงจำเป็นต้องตื่นตัวและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา โดยการแข่งขัน EMS RALLY ก็ถือเป็นหนึ่งในการเตรียมความพร้อมที่ดี และเป็นการพัฒนาการช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะทำให้โอกาสรอดชีวิตและเกิดอาการเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือความบกพร่องของร่างกายที่ไม่จำเป็นลดลงด้วย
การฝึกปฏิบัติการกู้ชีพจะนำไปสู่การปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีคุณภาพ ทำให้ทีมกู้ชีพได้เรียนรู้ในการออกปฏิบัติการท่ามกลางสภาวะการกดดัน ทุกรูปแบบ โดยจะมีโจทย์ และสถานการณ์สมมุติให้ทีมกู้ชีพได้ฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน อาทิ อุบัติเหตุ สาธารณภัย เจ็บท้องคลอด   ไฟไหม้ สารเคมีรั่วไหล เป็นต้น ซึ่งการแข่งขันนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานที่มีภาระหน้าที่สำคัญที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วยให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ พัฒนาคุณภาพและยกระดับเรื่องการกู้ชีพของประเทศไทย” นพ.ไพจิตร์ กล่าว
การจัดการแข่งขัน EMS RALLY จะแบ่งการแข่งขันเป็น 2 ระดับ คือ ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูง (ALS) และชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (FR) จากทีมที่ชนะเลิศจากเขตต่างๆ ทั่วประเทศ 18 เขต และจากกรุงเทพมหานคร 2 ทีม รวม 20 ทีม แบ่งเป็น 20 ฐาน ฐานละ 15 นาที ซึ่งการกำหนดเวลาก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติการตระหนักถึงการทำงานที่มีคุณภาพแข่งกับเวลา เพราะในสถานการณ์จริง ความผิดพลาดแม้แต่นาทีเดียวก็ไม่ควรเกิดขึ้น  ทั้งนี้สำหรับทีมที่ชนะเลิศจะเป็นตัวแทนไปแข่งขัน EMS RALLY ระดับนานาชาติที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปี 2555 ต่อไป
ด้าน นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ถือว่ามีความสำคัญมาก นอกจากจะพัฒนาเรื่องความชำนาญแล้ว     ยังเป็นการทบทวนความรู้ทางวิชาการด้วย และหากนำมาฝึกปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบาย 3 เร็ว 2 ดี คือแจ้งเหตุเร็ว ชุดปฏิบัติการไปถึงที่เกิดเหตุได้รวดเร็ว ภายในเวลา 10 นาที และนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเร็ว แพทย์สามารถให้การรักษาเร็ว สำหรับ 2 ดี คือคุณภาพการให้บริการทั้งในและนอกโรงพยาบาลดี ทั้งในภาวะปกติและภาวะที่เกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน ก็จะเป็นการตอกย้ำการพัฒนา และทำให้การบริการผู้ป่วยฉุกเฉินมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
“ที่ผ่านมายังมีผู้ป่วยฉุกเฉินที่เสียชีวิตก่อนนำส่งโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หรือเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ อยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้นหากมีการพัฒนาการช่วยเหลือให้มีความรวดเร็ว และมีมาตรฐาน ถูกต้อง มากขึ้นเท่าใด ก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินลดลงด้วย ขณะเดียวกันจะเป็นการสร้างมาตรฐาน และความเชื่อมั่นมากขึ้นด้วย” นพ.ชาตรีกล่าว
สำหรับผลการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินในไตรมาสแรกนั้น มีการออกปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน 288,544 ครั้ง แบ่งเป็นการช่วยเหลือระดับ ALS (ชุดปฎิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินระดับสูง) 40,191 ครั้ง การช่วยเหลือระดับ ILS (ชุดปฎิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินระดับกลาง) 9,379 ครั้ง การช่วยเหลือระดับ BLS (ชุดปฎิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินระดับต้น) 51,893 ครั้ง และการช่วยเหลือระดับ FR (ชุดปฎิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินเบื้องต้น 186,817 ครั้ง โดยสามารถให้ความช่วยเหลือได้รวดเร็วภายใน 10 นาที ร้อยละ 75.5 ซึ่งถือว่าตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม สพฉ. ก็จะมุ่งมั่นและพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ดียิ่งขึ้นต่อไป เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ผลการแข่งขัน ที่แข่งกันยาวนานแบบไม่มีพักกว่า 5 ชั่วโมง ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขัน EMS RALLY ระดับประเทศครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 ในชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูง (ALS) คือเขต 10 ตัวแทนจาก จ.เลย รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง คือ เขต 12 ตัวแทนจาก  จ.ขอนแก่น และรองชนะเลิศอันดับสอง คือ เขต 16 ตัวแทนจาก จ.เชียงราย
              ส่วนในชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (FR) ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เขต 10 ตัวแทนจาก จ.เลย รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ เขต 12 ตัวแทนจาก จ.ขอนแก่น และรองชนะเลิศอันดับสองได้แก่ ทีมจากเขต 14 ตัวแทนจาก จ.สุรินทร์




หนังสือพิมพ์มติชน

          
สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) จัดการแข่งขันการแพทย์ฉุกเฉิน Emergency Medical Services RALLY "EMS RALLY" ระดับประเทศครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 เพื่อปฏิบัติการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ที่สนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โดยมี นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการแข่งขัน พร้อมด้วยนพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็วๆ นี้


วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555





ถอดบทเรียนมหาอุทกภัย 2554 มองสู่อนาคต: 
เตือน(เป็น)ภัย และการกู้ชีพฉุกเฉิน


หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์  ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2555


วีระพันธ์ โตมีบุญ / นวพรรษ บุญชาญ รายงาน

          ในมหาอุทกภัยปี 2554 มีสิ่งที่สร้างความสับสนกับประชาชนอย่างมากประการหนึ่ง นอกเหนือจากความอ่อนด้อยประสิทธิภาพอื่น อีกประดามี ก็คือ การแจ้งเตือนภัย หรือการสื่อสารในภาวะวิกฤติเพื่อการเตรียมตัว หรือหลบหลีกภัย
          ตัวอย่างของการแจ้งข่าวเตือนภัยที่สะท้อนถึงปัญหาของระบบงาน ก็คือการที่รัฐมนตรีผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) ออกข่าวผ่านรายการโทรทัศน์ เวลา 18.45 น. วันที่ 13 ต.ค. 54  ว่า ประตูน้ำคลองบ้านพร้าว จ.ปทุมธานี แตกไม่สามารถกั้นน้ำได้ น้ำจากแม่น้ำเจ้า พระยาจะเข้ามาทางตอนเหนือของ กทม.ขอให้ประชาชน หมู่บ้านไวท์เฮ้าส์ หมู่บ้านรัตนโกสินทร์ อ.คลองหลวง  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สถาบันเอไอที รังสิตตอนบน ลำลูกกา สายไหม ดอนเมืองตอนบน เหนือถนนรังสิต-ปทุมธานี เก็บของขึ้นที่สูง หรือบนชั้น 2 ให้นำรถยนต์เข้ามาที่สนามบินดอนเมือง ผู้ที่มีบ้านชั้นเดียวให้อพยพมาที่สนามบินดอนเมือง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 50 ซม.-1 เมตร
          แต่หลังจากนั้น เวลา 19.30 น. ศปภ.ก็แถลงข่าวอีกครั้งว่า คุมสถานการณ์ได้แล้ว
          ซึ่งถ้าคุมได้จริง ก็เก่งเหลือเชื่อ  แต่ถ้าถามคนที่ทำงานอยู่แถวประตูระบายน้ำจะทราบไม่ได้มีเหตุถึงขั้นวิกฤติแต่อย่างใด
          ถัดมาอีก 10 วัน วันที่ 23 ต.ค. บนหน้าเฟซบุ๊กของ "ศปภ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย" ก็มีประกาศข้อความ "ศปภ.ประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่ กทม.ทั้งหมดเก็บของขึ้นสูงในระดับ 1 เมตร เนื่องจากประตูน้ำเปิดหมดแล้ว ในคืนนี้ระดับน้ำจะขึ้นสูงสุดเวลา 21.00 น." สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้เห็นข่าวสาร มีการส่งต่อกันจำนวนมาก แต่ต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษก ศปภ.ต้องออกมาชี้แจงว่าไม่เป็นความจริงและลบข้อมูลดังกล่าวออกไปแล้ว
          เมื่อพิจารณาการเตือนภัยของ ศปภ. ในช่วงอุทกภัย พบว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ได้ดึงเอาตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในสังกัดทั้งหมด รวมทั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่การแจ้งข่าวทำโดยทีมโฆษกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีความสับสน ขาดความชัดเจน เป็นที่สงสัยว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์การเตือนภัยหรือไม่
          อย่างไรก็ตาม มหาอุทกภัยครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่มีสื่อมวลชนทุกแขนง จากทุกสำนักกระจายลงสู่พื้นที่ต่าง ๆ และนำเสนอข้อมูลจากพื้นที่อย่างรวดเร็วฉับไว มีการแข่งขันของสื่อในการแสวงหาข้อมูล ด้วยวิธีประเมินจากนักวิชาการหรือภาคเอกชน เพราะขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากฝ่ายรัฐ ส่งผลให้ประชาชนได้รับข่าวสาร เชิงการวิเคราะห์คาดการณ์ที่บางครั้งก็เกินความจริง โดยเฉพาะการคาดการณ์ทิศทางของน้ำที่จะหลากไปถึง
          โดยทั่วไป การเตือนภัย ต้องประกอบด้วยระบบและเครื่องมือตรวจสอบว่ามีภัยเกิดขึ้น และอาจเป็นอันตรายกับประชาชนที่จุดใด หรือไม่ เมื่อใด จนทราบแน่ชัด จึงแจ้งข่าวเตือนภัยให้กับกลุ่มเสี่ยงได้ทราบ เพื่อการป้องกันหรือหลบหลีก
          การเตือนภัย ต้องทำโดยหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง มีขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ มิใช่ใครก็ออกข่าวได้ รวมถึงสื่อมวลชนก็ไม่ใช่ผู้มีบทบาทในการวิเคราะห์ คาดการณ์เพื่อเตือนภัย
          ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเตือนภัยที่เป็นระบบ เริ่มจากการรับข้อมูล ข่าวสาร จากส่วนต่าง ๆ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์และตัดสินใจว่าถึงขั้นต้องประกาศเตือนภัยกับใคร อย่างไร  ขั้นต่อไปคือการกระจายข้อมูลและข่าวสาร ซึ่งมีทั้งหน่วยราชการส่วนกลาง หน่วยราชการส่วนท้องถิ่น  หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย ประชาชนและ สถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
          ภายในศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มีความพร้อมถึงระดับที่มีห้องออกอากาศรายการโทรทัศน์ ที่พร้อมดำเนินการทันทีที่มีคำสั่งให้ปฏิบัติการ
          ในการกระจายข้อมูล ข่าวสารนั้น  ศูนย์เตือนภัย ก็มีเกณฑ์ ดำเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การรายงาน 2. การเฝ้าระวัง 3. การเตือนภัย 4. ยกเลิก
          ทั้ง 4 ประการ มีรายละเอียดการปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น เกณฑ์การรายงาน จะต้องตรวจสอบว่าเกิดภัยธรรมชาติที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเป็นข้อมูลที่ละเอียด พร้อมคำแนะนำการปฏิบัติ คำแนะนำในการช่วยเหลือกู้ภัย ให้กับผู้บังคับบัญชา หน่วยช่วยเหลือกู้ภัยและประชาชน เกณฑ์เฝ้าระวัง ซึ่งจะทำเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ แต่ไม่มีผลกระทบ ต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งต้องติดตามและป้องกันการตื่นตระหนกและเข้าใจผิดของประชาชน โดยต้องให้ข้อมูลกับผู้บังคับบัญชาเพื่อชี้แจงกับประชาชน
          ไม่ใช่รู้ข้อมูลเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยก็ปล่อยผ่านสื่อทันที
          เกณฑ์เตือนภัย ใช้เมื่อเกิดภัยธรรมชาติที่จะเป็นอันตราย กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างรุนแรง หรือครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งจะต้องรายงานรายละเอียดของภัย ผลกระทบ เวลาที่คาดว่าจะเกิดภัย ให้คำแนะนำการปฏิบัติเพื่อลดอันตราย ลดความสูญเสีย รวมถึงคำแนะนำในการช่วยเหลือกู้ภัย
          เกณฑ์ยกเลิก เป็นหลักสำคัญอีกอย่างของการเตือนภัย  นำมาใช้เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ และตรวจสอบข้อมูลจากทุกแห่งจนแน่ใจ เป็นไปตามเกณฑ์การยกเลิกภัยแต่ละชนิด เพื่อดำเนินการแจ้งให้ทราบว่า มีความปลอดภัยและให้หน่วยช่วยเหลือกู้ภัย ดำเนินการบรรเทาสาธารณภัย
          การยกเลิก เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีควบคู่กับการเตือนภัย เพราะถ้าไม่มีเกณฑ์หรือไม่ประกาศยกเลิก ประชาชนหลงเข้าใจผิด เห็นสถานการณ์บางช่วงดีขึ้น แล้วเข้าไปในพื้นที่ ก็อาจเผชิญอันตรายบางอย่างที่คงอยู่และยังไม่ได้จัดการให้เข้าที่เข้าทาง
          น่าสนใจว่า อุทกภัยที่ผ่านมา ไม่มีการประกาศยกเลิกแม้แต่จุดเดียว
          การเตือนภัยในภาวะวิกฤติ ที่จะต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ จึงไม่ใช่ซื้อหาเครื่องมือใหม่ แต่ต้องทำให้ ระบบและหน่วยงานเตือนภัยทำหน้าที่เป็นเครื่องมือแนะนำผู้ควบคุม สั่งการ รับมือกับภัย ชี้ไปที่หน่วยปฏิบัติต่าง ๆ ในการเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชน
          ที่สำคัญ ต้องไม่ตื่นเต้น ตื่นตูม เสียเองนอกเหนือจากการเตือนภัยแล้ว งานกู้ชีพ การแพทย์ฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งในสถานการณ์วิกฤตินี้ ซึ่ง 2 หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ.  ที่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตลอด 24 ชม. ก็ทำงานกันหนัก อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  แม้หน่วยงานและสถานบริการสาธารณสุขเองก็มีสภาพไม่ต่างจากที่อื่นจมอยู่ใต้น้ำ จำนวนมากก็ตาม
          สำหรับการปฏิบัติการด้านการรักษาพยาบาล มีการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่  ตั้งโรงพยาบาลสนาม 17 แห่ง ในจังหวัดซึ่งมีน้ำท่วมบริเวณกว้าง และโรงพยาบาลประจำจังหวัดถูกน้ำท่วม เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง และอุบัติเหตุฉุกเฉิน 24 ชม.   นอกจากนี้ได้ออกเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งติดอยู่ตามบ้านด้วย
          กรมสุขภาพจิต ได้ออกหน่วยแพทย์เยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ร่วมกับทีมสาธารณสุขจังหวัด ได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัยส่วนการปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงฯ จังหวัดต่าง ๆ ได้ตรวจสุขภาพจิต ค้นหากลุ่มเสี่ยง ปฐมพยาบาลด้านจิตใจ ให้คำปรึกษารายบุคคลและรายกลุ่ม  ทำกิจกรรมกลุ่ม  สร้างความเข้มแข็งด้านจิตใจ  ฝึกผ่อนคลายความเครียด
          นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้เฝ้าระวังและควบคุมโรคระบาด เฝ้าระวังและควบคุมโรค ในศูนย์พักพิง 12 จังหวัด 72 จุด  การตรวจสอบระบบการเข้าถึงบริการวัคซีน และการขาดยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง  การผลิตชุดป้องกันโรคด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม "นายสะอาด" เป็นชุดป้องกันโรคด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ถุงดำขนาดใหญ่สำหรับใส่ขยะ ถุงดำขนาดเล็กสำหรับใส่อุจจาระ น้ำยาล้างจาน สบู่ เจลทำความสะอาดมือเพื่อฆ่าเชื้อโรค หยดทิพย์ (คลอรีนน้ำ) ใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคในน้ำ เพื่อนำน้ำมาอุปโภคและเมกะคลีนพลัส ใช้บำบัดน้ำเสียที่ท่วมขังเป็นเวลานาน แก้ปัญหาส้วมเต็ม หรือกำจัดกลิ่นจากกองขยะ พร้อมทั้งคำแนะนำ สำหรับผู้ประสบภัย เพื่อดูแลสุขภาพตนเองและป้องกันโรคระบาด แจกจ่ายไปยังจุดอพยพต่าง ๆ
          นอกจากนี้ได้ติดตาม  เฝ้าระวัง สนับสนุนยาเวชภัณฑ์ ให้เพียงพอรองรับสถานการณ์อุทกภัย  โดยเฉพาะยาในบัญชียาหลัก  ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งต้องใช้เหมือนกัน  บางรายการใช้ในการรักษาเพิ่มมากขึ้น  เช่น   ยาปฏิชีวนะ บางรายการอาจขาดแคลน  เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิต ยาและเวชภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกระทรวงสาธารณสุข  ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและองค์การเภสัชกรรม  ดำเนินการตามแผนป้องกันปัญหาขาดแคลนยาเวชภัณฑ์  นอกจากนี้ยังได้ส่งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรือ อสม.  ไปปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงและโรงพยาบาลสนามทุกแห่ง
          นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เล่าว่า การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย บางครั้งการลำเลียงผู้ป่วยเพียงคนเดียว ต้องใช้หลายวิธี  เช่น ต้องให้ทีมกู้ชีพไปกับเรือเพื่อรับผู้ป่วย ส่งต่อให้รถทหารซึ่งดัดแปลงเป็นรถพยาบาลยกสูง และส่งต่อให้รถพยาบาลฉุกเฉินอีกขั้นหนึ่ง  หรือใครจะคิดว่าเราถึงขั้นต้องใช้เครื่องบิน C-130 ลำเลียงผู้ป่วยหลายสิบคนในคราวเดียว นอกจากนี้ด้วยจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินที่รอความช่วยเหลืออยู่มาก ทั้งจากโรงพยาบาลที่กำลังจะถูกน้ำท่วม หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ อาทิ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ถูกไฟฟ้าช็อต จมน้ำ เป็นต้น ประกอบกับสถานการณ์บีบบังคับ การวางแผน และทีมงานที่พร้อมและเสียสละจึงเป็นสิ่งสำคัญ
          บทสรุปการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินที่กินเวลากว่า 2 เดือน สพฉ. ภายใต้การปฏิบัติงานของ "ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินดอนเมือง 84"  ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ได้ทั้งสิ้น 2,046 ราย แต่การปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะ ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินดอนเมือง 84 ที่สนามบินดอนเมืองที่เคยใช้เป็นที่บัญชาการหลัก ก็ถูกน้ำท่วมหนักเช่นกัน ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ สพฉ.ต้องคิดถึงแผนขั้นต่อไป คือการกระจายจุดบัญชาการไปยังภาคตะวันตก บริเวณโรงพยาบาลบางปะกอก 9  และภาคตะวันออกของกรุงเทพฯ คือสนามบินสุวรรณภูมิ และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อความสะดวก และคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายและช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที
          จากบทเรียนครั้งนี้ทำให้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ  มีการบ้านหนักต้องเตรียมรับมือต่อไป  เพื่อเป้าหมาย คือ การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้มีคุณภาพมากที่สุด อาทิ การกระจายศูนย์บัญชาการหลักในแต่ละภูมิภาค การกระจายความครอบคลุมในส่วนของทีมกู้ชีพ การอบรมบุคลากรโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น ชุดปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็วตอบโต้ภัยพิบัติ การอบรมบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพและมีความรู้เพิ่มมากขึ้น
          เป็นหลักประกันให้ประชาชนได้มั่นใจ ไม่ว่าภัยธรรมชาติจะหนักแค่ไหน ก็พร้อมรับมือ.
          จมน้ำ..ไฟดูด..มหันตภัยที่มากับน้ำท่วม
          ข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้สรุปข้อมูลการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม พบว่า เสียชีวิตจากจมน้ำ 779 ราย เสียชีวิตจากไฟฟ้าดูด  140 ราย
          อุปกรณ์ที่เป็นสาเหตุให้เกิดไฟฟ้าดูดเสียชีวิต อาทิ  เครื่องปั๊มน้ำ ปลั๊กไฟ เสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น ประตูเหล็ก ลูกกรงเหล็ก สายไฟฟ้าแรงสูง รถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว
          สรุปการเสียชีวิตจากการจมน้ำและไฟดูดพบมากในเพศชาย วัยทำงาน การให้ความรู้ ร่วมกับการจัดเตรียมชูชีพให้เพียงพอ จะช่วยลดการตายได้มาก โดยต้องทำล่วงหน้าก่อนน้ำจะมาถึง
          ส่วนไฟดูดส่วนใหญ่เกิดในบ้านโดยใช้มือจับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงขณะตัวเปียกน้ำ รองลงมาคือสัมผัสสิ่งที่ทำด้วยเหล็กซึ่งไปพาดกับสายไฟ ดังนั้นควรให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันไฟฟ้าดูดกับชุมชนตั้งแต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดน้ำท่วม ก่อนเกิดน้ำท่วม ให้การไฟฟ้าตรวจเช็กเสาไฟฟ้าเพื่อหาจุดไฟรั่ว และปรับปรุงซ่อมแซมสายไฟที่ตกลงมาในระดับต่ำ.
       











วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555





สพฉ. ร่วมเปิดตัว “TOYOTA SMART G-BOOK” นวัตกรรมใหม่ พร้อมบริการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินผ่านระบบเทคโนโลยีทันสมัย





หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555



หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555

โตโยต้าเอาใจลูกค้าชาวไทย-เปิดตัว “สมาร์ท จี-บุ๊ค” แอพพลิเคชั่นอัจฉริยะ 




โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัว “โตโยต้า สมาร์ท จี-บุ๊ค” แอพพลิเคชั่นพิเศษสำหรับลูกค้า ใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ด้วยบริการ smart G-BOOK Call Center 24 ชั่วโมง ช่วยทั้งการเดินทาง และบริการฉุกเฉินตลอดเวลา โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ที่มีบริการนี้ต่อจากญี่ปุ่น
 “Toyota smart  G-BOOK ผสานทุกเทคโนโลยีการเดินทางไว้ในหนึ่งเดียว ด้วยระบบการสื่อสารแบบสองทาง  พร้อมบริการ smart G-BOOK Call Center  ซึ่งเป็นผู้ช่วยค้นหาจุดหมายปลายทางและส่งข้อมูลกลับมาช่วยให้การเดินทางที่ง่าย สะดวกสบาย และปลอดภัย

“สำหรับเวอร์ชั่นของไทย พัฒนาต่อยอดมาจากประเทศญี่ปุ่น และได้เพิ่มฟังก์ชัน G-Road และ G-Life  โดยให้บริการข้อมูลในด้านความช่วยเหลือฉุกเฉิน ที่ช่วยให้ผู้เดินทางรู้สึกอุ่นใจ เพื่อที่สุดแห่งการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกสบายอย่างแท้จริง” 
Toyota smart G-BOOK พัฒนาขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ 3 ด้าน คือ 1.สนับสนุนการขับขี่  ประมวลเส้นทางจราจรล่าสุด เพื่อแนะนำเส้นทางที่คล่องตัว ช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาการเดินทาง ลดการใช้พลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย 2.ด้านความปลอดภัย  ค้นหาและยืนยันพิกัดของผู้ติดต่อ เพื่อส่งขอความช่วยเหลือ โดยประสานงานกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และ 3.ความสะดวกสบาย สามารถแนะนำร้านอาหาร ศูนย์การค้า สถานที่ท่องเที่ยว หรือศูนย์บริการโตโยต้า
ช่วงแนะนำ Toyota smart G-BOOK ทางโตโยต้ามอบ 5,000 แอพพลิเคชั่น ฟรี สำหรับผู้ที่สนใจ ดูรายละเอียด และลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ผ่านเว็บไซด์ www.e-TOYOTACLUB.com  ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 18  มีนาคม 2555 เท่านั้น


หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 

สพฉ. จัดแข่งขัน EMS RALLY ฝึกปฏิบัติการพัฒนาทักษะการกู้ชีพ 24 ก.พ.นี้






สพฉ. จัดแข่งขัน EMS RALLY ฝึกปฏิบัติการพัฒนาทักษะการกู้ชีพ 24 ก.พ.นี้




นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สพฉ. ได้เล็งเห็นว่าผู้ป่วยฉุกเฉินถือเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน และที่สำคัญต้องได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน จากผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีความรู้ความสามารถ ดังนั้นสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งมีภารกิจดูแลและจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน จึงมีโครงการพัฒนาผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องผ่านการแข่งขัน EMS RALLY ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 7.00 น.เป็นต้นไป
               


การแข่งขัน EMS RALLY ซึ่งในปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 2 มีจุดประสงค์เพื่อฝึกปฎิบัติพัฒนาทักษะผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ให้เตรียมความพร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันสถานการณ์ภัยพิบัติ มีแนวโน้มเกิดขึ้นถี่และรุนแรงมากยิ่งขึ้น  ทั้งนี้การแข่งขันจะมีการสร้างโจทย์เหตุการณ์สมมุติในแต่ละฐานแข่งขัน เพื่อให้ทีมผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินฝึกแก้ไข ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ  สำหรับการแข่งขัน EMS RALLY ระดับประเทศ ครั้งนี้ มีทีมผู้ร่วมแข่งขันซึ่งเป็นตัวแทนทีมชนะเลิศจากแต่ละเขต รวม 18 เขต ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมและให้กำลังใจทีมกู้ชีพที่เข้าร่วมการแข่งขันได้ที่ สนามกีฬา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่เวลา 7.00 น.เป็นต้นไป